เทรดประสบความสำเร็จได้แม้ว่า Indicator จะพลาด

 

เทรดประสบความสำเร็จได้แม้ว่า Indicator จะพลาด

ก่อนหน้านี้ สมัยที่การใช้ Indicator ยังทำได้ดี เช่น Momentum สามารถบอกจุดเกิด Divergence ได้ล่วงหน้า Volume นั้นจะมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อ เพื่อบอกให้เรารู้ว่าถึงเวลาต้อง Buy แล้ว และถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้น พวกมันก็จะร่วงทันทีทำให้เราตัดขาดทุนได้ทันเวลา 

ในตอนเดือนมกราคม และ ต้นเดือน กุมภาพันธ์ปี 2007 ตลาดหุ้นเกิด Divergence แต่ว่าราคายังคงสุงขึ้น  รูปแบบการเกิด breakouts ไม่สามารถเกิดขึ้นได้  ทำให้นักเทรดออกจากตลาดเสียก่อนที่ราคาจะวิ่ง
อย่างไรก็ตาม  ตามกราฟของหุ้นรายตัว การซื้อ ณ จุด breakout โดยไม่ลังเล และ ตั้ง Stop loss อย่างเคร่งครัด นำมาซึ่งผลกำไรที่น่าประทับใจ แต่ว่าการเคลื่อนไหวของราคา นั้นจะมีสัณญาณก่อนหน้าไม่กี่วันก่อนที่หุ้นจะรับรุ้ข่าวการทำดีลที่ประกาศออกมา ก่อนที่ราคาจะเคลื่อนไหว 40  % ขาขึ้น ลองอ่านข้อความข้างล่างว่าผลตอบแทนนี้มาได้อย่างไร

ตลาด
ช่วงปลายเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2007 เมื่อตลาดหุ้นทั่วโลก เคลื่อนไหวไปก่อนหน้าตลาดหุ้นจีนไป 9 % ดูเหมือนว่า ความวุ่นวายในตลาดหุ้นจะผ่านไปแล้ว  ราคาหยุดเคลื่อนไหว
เมื่อราคามันย้อนกลับมา 8 % ในไม่กี่สัปดาห์ แม้ว่าตลาดจะอยู่ในขาลงแต่ก็เริ่มเห็นตลาดกระทิงเริ่มก่อตัวในช่วงปลายเดือนมีนาคม  แต่ไม่มีปัญหา มันดูเหมือนจะเป็นเวลาสำหรับการเกิดขาขึ้น รอบถัดไป



รุปที่  1

ที่มา : eSignal


Volume
ที่ลดลง
ราคาที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องได้เกิดขึ้น มีเทรนด์ แต่ว่ามันน่าเจ็บใจที่ปริมาณกับลดลงในขณะที่ราคาเพิ่มขึ้น
ทำไมถึงน่าเจ็บใจ?

ตามที่คนที่ดูกราฟเป็น รู้ว่า  ว่าเมื่อปริมาณการเทรดนั้นตกลงหมายความว่า การเคลื่อนไหวนั้นไม่คงที่อีกต่อไป เกิดสัณญาณกลับตัวเตือนและบอกเราว่าให้หาโอกาศในการ sell หุ้น ไม่ใช่เวลาซื้อ และต้องไม่ลืมว่า ระดับแนวต้านของดัชนีตัวใหญ่ ๆ นั้นก็จะกว้างด้วย



รูปที่  2

ที่มา : eSignal


เมื่อมันไม่เป็นไปตามแผน
ราคาที่เคยสูงสุด ร่วงลงเหมือนโดมิโน แม้ว่าราคาทองคำ ราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวขึ้น หรืออัตราดอกเบี้ยก็ปรับขึ้น
แม้ว่าเหตุการณ์แบบนี้มันไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่ว่ามันก็เกิดขึ้นแล้ว  

ณ จุดนี้ มันดูเหมือนจะสายเกินไป เพราะว่าตลาดภาวะกระทิงมันเกิดติดต่อกันมา 4 ปีแล้ว และมันเป็นการวิ่งขึ้นไม่หยุดเป็นอันดับสองเท่าที่เคยบันทึกมา ไม่น่าจะต่ำกว่า 10 % เพียงแค่ 8 % ก็ยอดเยี่ยมแล้ว แต่ว่าตอนนี้มันกำลังจะหมดเทรนด์แล้ว

ที่แย่ไปกว่านั้น จากจุดทางจิตวิทยา จะเห็นกราฟหุ้นรายวันจะพยายามเกิดจุดกลับตัวเป็น จุดซื้อตลอดเวลา

แล้วคลื่น C ของ Elliot wave ที่หลาย ๆคนบอกอยู่ไหน? แล้วเรื่องของวงจรตลาดหมีที่ต้องตามด้วยตลาดกระทิง หล่ะ?

ในเดือน มีนาคม ปี 2007 การเคลื่อนไหวยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปริมาณนั้นยังคงอ่อนแรงและ momentum มีน้อยเหลือเกินในไม่ช้านี้ การเกิดขาลงจะเริ่มขึ้นเป็นแน่

เดือนเมษามาถึง และ ผ่านไป ดัชนีหุ้นหลัก ๆ ยังคงทำราคาสูงสุดเกือบทุกวัน หน้าจอหุ้นยังคงมีแต่คนซื้อ และบอกว่าฉันต้องซื้อหุ้นตามสัญญาซื้อ แต่ว่าเรายังอยู่ในขาลง แต่ว่าเข้าซื้อแทบจะเต็มที่!

จุดบอดของ  Indicators, กับผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ตอนต้นเดือนนักวิเคราะห์หลาย ๆ คนกำลังมองย้อนไปในช่วงเวลาก่อนหน้าเมื่อ Dow jones กำลังเป็นขาขึ้นหลาย ๆ วันติดกัน ณจุดหนึ่ง มันขึ้นทุกวัน เป็นเวลา 24 วันจาก 27 วัน ซึ่งแทบจะเทียบเท่าสถิติ 80 ปีก่อนห้าที่36 วันขึ้น 30 วัน

กราฟข้างล่างแสดงให้เห็นถึงเทรนด์ที่มีความชัน และ Indicator ที่บอกโมเมนตั้มกำลังเคลื่อนที่เข้าสุ่จุดกลับตัว แต่ว่า ตัว Volume เองยังไม่น่าประทับใจนัก ซึ่งทุก ๆ อย่างไม่ได้เป็นไปตามอย่างที่กราฟทางเทคนิคควรจะเป็นอีกครั้ง  แต่ว่า มันก็เกิดขึ้นแล้ว 



รูปที่  3

ที่มา : eSignal


แม้ว่าเราจะสนใจการไปต่อของราคา แต่ไม่สนใจปัจจัยภายนอกว่า มันจะผลักดันราคาอย่างไร เพราะว่า เรื่องพวกนี้ไม่ได้อยู่บนกราฟ เช่นปริมาณของสภาพคล่องในตลาดโลก หรือว่า แม้ว่าหุ้นในพอร์ทของเราจะเขียวทั้งหมด และไม่ใช่แค่เขียวเล็ก ๆ แต่ว่ากำไรเยอะมาก  กำไรเต็มไปหมด ต้องขอบคุณตลาดที่วิ่งขึ้น มา แต่ว่ามันต้องใช้วินัยและการวิเคราะห์หุ้น ที่ต้องให้เครดิตกับกำไรครั้งนี้

ขาลงนี้เกิดตามรูปแบบในหุ้นรายตัวโดยไม่สนใจตลาดโดยรวมว่าจะเป็นอย่างไร  จุด Breakout เกิดขึ้น  Stop loss จะต้องตัดขาดทุนทันที่เมื่อมันมาถึงราคานั้น ไม่มีการลังเล และออร์เดอร์เหล่านี้ที่ปิดไปแล้วเพราะว่า มันกำไรเป็นที่น่าพอใจแล้ว แต่ว่าออร์เดอร์ส่วนใหญ่ของเราได้กำไรต้องเยอะ



พยายามให้ตลาดหมี อยู่ในกำมือเรา
ในภาวะขาลงสิ่งที่มีส่วนเข้ามาในการเลือกหุ้นและ การจัดการพอร์ทโฟลิโอคือการตั้ง Stop loss แคบเกินไป และตั้ง Trailing Stop สูงเกินไปซึ่งทำให้หลายๆ ออร์เดอร์ต้องปิดไปก่อน ความแข็งแกร่งของตลาดกระทิงจะป้องกันเหตุการณ์ผิดพลาดแบบนี้เกิดขึ้น ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นถือว่าโชคเข้าข้างเทรดเดอร์


ทำกำไรจากการเข้าซื้อกิจการ
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดตลาดหมียาก คือ การเพิ่มจำนวนของผู้เข้าซื้อกิจการหรือว่า การควบรวมกิจการ คำว่า  "private equity" ตอนนี้เป็นข่าวแทบทุกคน และมีเงินมหาศาลที่จะรอซื้อเพื่อเข้าทำกำไร  

น่าสงสารหมีที่น่าสงสารเพราะมันต้องถูกเปลี่ยนให้เป็ฯกระทิง แล้วเราต้องทำอย่างไร ควรจะซื้อตามสัณญาณตามเทคนิค และ ทำกำไรเมื่อหลังจากมีการเข้าซื้อกิจการ

อีกครั้ง ไม่มีความรู้ที่ทำให้เราได้เปรียบ แม้แต่การวิเคราะห์ทางเทคนิคในกรณีที่เกิดสถานการณ์การเข้าซื้อกิจการนี้แค่การใช้การอ่านกราฟธรรมดา แล้วสามารถทำให้เรารุ้ว่าเราควรจะทำอย่างไร แล้วก็ขายตอนที่พวกเขากำลังเข้าซื้อ  และ ซึ่งการทำกำไรลักษณะนี้อาจจะได้ถึง 40% เพียงแค่การถือหุ้นไม่ถึงเวลา สัปดาห์

การ short หุ้นหลาย ๆ ตัวก็ไม่น่าเกลียดมากนัก มันเป็นคัมภีร์ของการอ่านกราฟ เมื่อเรา short หุ้นเป็นกลุ่มก็สามารถทำกำไรได้ในขณะที่ตลาดกำลังทำสถิติใหม่

แล้วเราได้เรียนรู้อะไร
เรายังทำกำไรได้แม้ว่า เราจะเดาทิศทางตลาดผิด  เราก็ยังทำกำไรได้แม้ว่า เราจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างว่าอะไรควร หรือไม่ควรที่จะเกิดขึ้น

ข้อควรจำ : ไม่มีอะไรเลวร้ายในเกมส์การเทรดไปกว่าการคิดว่าคุณรู้ว่าตลาดจะไปทิศทางไหนและยึดมั่นกับความคิดนั้นมากเกินไป ดังนั้นตามตลาด และใช้สัญญาณทางเทคนิค เชื่อมั่นใน Stop loss ของคุณ และมั่นใจว่าถ้าจะทำกำไรถัวเฉลี่ยต้องมี Position พอ

เราไม่อาจจะได้กำไรจากหุ้นทุกตัว แต่ว่า พอร์ทโฟลิโอควรจะมีสัดส่วนของหุ้นที่ได้กำไร ต่อหุ้นที่ขาดทุน เยอะเพื่อสุขภาพของพอร์ทที่ดีของเรา ในวันนั้น

โดย  Michael Kahn

www.investopedia.com


Comments